นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเนื้อสัตว์ ระบุว่า เนื้อแดงเป็นแหล่งของโปรตีนที่สำคัญ อุดมด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ผู้บริโภครับประทานเนื้อแดงได้อย่างเหมาะสม ให้มีความหลากลาย หมดกังวลเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อร่างกาย และเพื่อความปลอดภัยควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เก็บอย่างถูกวิธี ปรุงสุกทุกครั้งก่อนรับประทาน

เนื้อแดง ประกอบด้วย เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ และเนื้อหมูซึ่งมีสีอ่อนที่สุดใกล้เคียงกับเนื้อไก่ บางประเทศจึงอาจเรียกเนื้อหมูว่าเนื้อสีขาวเหมือนเนื้อไก่ สีแดงในเนื้อสัตว์เกิดจากเม็ดสีที่ชื่อ “ไมโอโกลบิน” ทำหน้าที่กักเก็บออกซิเจนไว้ใช้ในกล้ามเนื้อ โดยจับกับธาตุเหล็กที่ติดกับ “ฮีม” เนื้อที่มีสีแดงเข้มจึงมีธาตุเหล็กชนิดมีฮีมอยู่มาก ซึ่งร่างกายจะดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าธาตุเหล็กชนิดไม่มีฮีมที่พบมากในพืช และช่วยให้ธาตุเหล็กในพืชถูกดูดซึมไปใช้ได้ดีขึ้น เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนสูง มีกรดอะมิโน และกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอาทิ B12 B6 B3 B1 เหล็ก สังกะสี และซีลีเนียม

โดยการจัดกลุ่มขององค์กร IARC เป็นการสร้างความตระหนัก ซึ่งรายงานวิจัยที่ใช้พิจารณาจัดกลุ่มส่วนใหญ่เป็นการเก็บข้อมูลในประเทศทางตะวันตก รวมถึงประเทศจีน หากเทียบปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์จะเห็นภาพชัดว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้มีการบริโภคเนื้อสัตว์มากกว่าคนไทยหลายเท่า ชาวตะวันตกบริโภคเนื้อสัตว์ประมาณ 70 กิโลกรัม หรือมากสุดอาจจะถึง 100 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่รับประทานเนื้อหมูกับเนื้อไก่มากที่สุด ประมาณ 16-17 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งน้อยกว่ามาก นอกจากนั้น อาหารไทยมักปรุงร่วมกับผัก เครื่องเทศ หรือสมุนไพรซึ่งส่วนใหญ่มีสารต้านอนุมูลอิสระและให้กากใย แต่อีกประเด็นสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ คือลักษณะการปรุงอาหารแบบปิ้งย่างจนเกรียม ที่มีน้ำมันหยดลงบนเตาซ้ำๆ จนไหม้ เป็นควัน หรือทอดด้วยความร้อนสูงด้วยน้ำมันที่ใช้ซ้ำ เนื่องจากมีข้อมูลทางวิชาการระบุว่ามีส่วนก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง และถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 2A เช่นกัน แต่ระดับความเสี่ยงอาจจะแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้บริโภคที่รับประทานอาหารปิ้งย่างบ่อยครั้งจึงควรระมัดระวังในประเด็นนี้ด้วย
























