ปลาหมอคางดำ กลายเป็นประเด็นที่ชวนให้สังคมติดตาม หลังจากมีภาพปลาชนิดนี้กระจายพันธุ์ไปตามแหล่งน้ำ บ่อเพาะเลี้ยงกุ้งและปลาของเกษตรกร จนไปถึงบึงมักกะสันในกรุงเทพฯ หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่าจะก่อผลกระทบต่อพันธุ์สัตว์น้ำท้องถิ่น เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ชาวประมง รวมถึงต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ เกิดเป็นความพยายามสืบหาแหล่งต้นตอ ตามหาผู้รับผิดขอบ โดยตั้งข้อสังเกตไปที่บริษัทเอกชนที่มีรายงานการขออนุญาตนำเข้าอย่างถูกต้อง เพียงรายเดียว จนอาจทำให้มองข้ามความเป็นไปได้อื่นๆไป
ขณะที่มีการปั่นกระแสปลาหมอคางดำ ผ่านการนำเสนอด้วยคำว่า “เอเลี่ยนสปีชีส์” ราวกับว่าเป็นสัตว์ประหลาด ทั้งที่ปลาหมอคางดำ สามารถรับประทานได้ไม่แตกต่างจากปลาชนิดอื่น และเมื่อเพิ่มจำนวนก็จัดการได้ด้วยการจับขึ้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ดังเช่นที่ประเทศไทยเคยเผชิญกับสัตว์ต่างถิ่นรุกราน ทั้งตั๊กแตนปาทังก้า และหอยเชอรี่ ที่วันนี้กลายเป็นอาหารที่มีความต้องการสูงไปแล้ว
ประเด็นที่สังคมต้องการให้หาความจริงคือ ต้นตอที่ทำให้ปลาหลุดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ โดยมี NGO รายหนึ่งปักหมุดไปที่การนำเข้าปลาหมอคางดำ เพื่อวิจัยของบริษัทเอกชนเพียงรายเดียว ผ่านการนำเสนอข้อมูลและภาพต่างๆ ผ่านเวทีสาธารณะและโซเซียลมีเดีย โดยอ้างว่า ได้ข้อมูลมาจากอดีตพนักงานที่เคยทำงานในฟาร์มวิจัยแหล่งนั้น กระทั่งบริษัทได้ออกมาแถลงข่าว ถึงการบิดเบือนข้อเท็จจริง และได้รวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป
ด้านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ และคณะทำงานสำนักงานคดีปกครอง ก็เตรียมยื่นฟ้องแพ่งต่อบริษัท และฟ้องคดีปกครองต่อกรมประมง โดยใช้หลักฐานเป็นข้อมูลงานวิจัยสองฉบับของกรมประมง ซึ่งมีรายงานผลการศึกษา จุดที่พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ รวมถึงดีเอ็นเอของปลาหมอคางดำ
แน่นอนว่า การไต่สวนหาสาเหตุไม่ใช่เรื่องง่าย กระบวนการพิสูจน์ต้องใช้เวลาจนกว่าจะกระจ่าง ด้วยเหตุนี้ในการสืบสวนต้องไม่มองข้ามประเด็นอื่นๆ ที่มีโอกาสเป็นไปได้ โดยเฉพาะข้อมูลการส่งออกปลาหมอคางดำในระหว่าง 2556-2559 ที่มีรายงานว่า มีการส่งออกรวม 4 ปี กว่า 3.2 แสนตัว ที่จนถึงวันนี้ กรมประมงยังคงให้ข้อมูลได้เพียงแค่ว่า ชื่อปลาในรายงานการส่งออก เป็นเพียงการกรอกชื่อผิดของเจ้าหน้าที่ชิปปิ้ง และเบื้องต้นทั้ง 11 บริษัท ได้ให้ข้อมูลว่า เป็นปลาหมอสีมาลาวี แต่ถือเป็นคำชี้แจงที่เชื่อถือได้ยาก
คำชี้แจงนี้ แม้แต่ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ ก็ยังมีความสงสัยว่า ทั้ง 11 บริษัท ใช้บริการชิปปิ้งเดียวกัน โดยไม่ได้ตรวจเลยว่า ปลาที่ส่งออกกับชื่อในเอกสารไม่ตรงกันมาตลอด 4 ปี ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ไม่มีการตรวจสอบว่า ปลาที่ส่งออกเป็นปลาอะไร ทั้งๆ ที่เป็นปลาห้ามเพาะเลี้ยง ที่สำคัญ เมื่อพิจารณาตาม พรก.ประมง ปี 2558 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ผู้ส่งออกปลาต้องแจ้งแหล่งที่มาก่อนการส่งออกทุกครั้ง” สิ่งนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบไม่เคยได้ออกมาบอกกับสังคมเลยว่า ได้มีการตรวจสอบแล้วหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ควรต้องเปิดเผยออกมาให้สิ้นสงสัย ไม่ใช่เงียบไปให้สังคมเกิดความคลางแคลงใจเช่นนี้
และที่ปล่อยให้สังคมพุ่งเป้าไปที่บริษัทเอกชนเพียงอย่างเดียว อาจเพราะไม่ต้องการให้มองเห็นถึง ช่องโหว่ ความบกพร่องในมาตรการควบคุมการนำเข้าส่งออกของภาครัฐ ที่อาจเชื่อมโยงถึงธุรกิจการลักลอบนำเข้าปลาสวยงาม โดยไม่ได้รับอนุญาตที่อาจไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมาย แต่ยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและระบบนิเวศในประเทศ
การลักลอบนำเข้าปลานี้มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ทำเป็นขบวนการ ด้วยการลำเลียงปลาสวยงามหายากและมีมูลค่าจากต่างประเทศเข้ามา โดยผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งการซ่อนในกระเป๋าเดินทาง การใช้กล่องโฟม และการใช้เอกสารนำเข้าเท็จ ล่าสุด ฉก.พญานาคราช ได้จับกุมปลาสวยงาม (ปลาตะพัด) ที่ไม่มีใบอนุญาตให้ค้าหรือครอบครอง ณ อาคารคลังสินค้าท่าอากาศยานหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 48 ตัว มูลค่าราว 288,000 บาท สิ่งเหล่านี้ยืนยันให้เห็นว่า มีการลักลอบนำเข้าปลาสวยงามอยู่จริง ซึ่งนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกรานที่ไทยกำลังเผชิญ แต่กลับถูกมองข้าม และยังไม่ได้รับการแก้ไข
ประเด็นการส่งออกปลาสวยงามนี้ มีข้อมูลจาก NGO ระบุถึงข้อมูลวงในหน่วยงานราชการพบว่า การใช้ชื่อ “ปลาหมอสีคางดำ” ซึ่งใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron เพื่อหลบเลี่ยงแสดงหลักฐาน GAP ทำให้ส่งออกได้โดยง่าย เพราะกรมประมงมีมาตรฐานบังคับ สำหรับการส่งออกปลาหลายชนิด
นี่ก็ยิ่งสะท้อนความหละหลวมของหน่วยงานที่รับผิดขอบ เพราะนอกจากความสับสนของชื่อสามัญแล้ว ยังปล่อยให้ใช้ชื่อ ปลาห้ามเพาะเลี้ยง เพื่อช่วยให้ส่งออกได้ง่ายขึ้น และยังมีข้อสงสัยตามมาว่า มีการส่งออกปลาต้องห้ามด้วยชื่อหรือไม่ แม้ประเทศปลายทางจะเฝ้าระวัง ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วจะยังสงสัยหรือไม่ ส่วนที่บอกว่า การส่งออกหากมี ก็เกิดหลังจากการแพร่พันธุ์ของปลาหมอคางดำในประเทศแล้วนั้น หมายถึงว้า จะให้บริษัทที่ส่งออกเหล่านั้นไปจับปลาจากแหล่งน้ำสาธาณะมาเพาะเลี้ยงและส่งออกเช่นนั้นหรือ
ที่สำคัญ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากปลาหมอคางดำกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจแล้วก็มีรายงานการพบปลาในพื้นที่นัเน พื้นที่นี้ ราวกับว่า มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงกันทุกที่ ปลาถึงได้ว่ายไปขยายพันธุ์ได้หลายจังหวัด หรือแท้จริงมีคนนำพาไปด้วยกันแน่ และได้มีการตรวจดีเอ็นเอ อีกหรือไม่ว่า ปลาที่พบในแต่ละแห่งมาจากแหล่งเดียวกันอยู่หรือไม่ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง
ข้อมูลจากต่างประเทศแสดงให้เห็นว่าปลาหมอคางดำมีทั้งที่เป็นสีซีดและที่เป็นสีสันอื่นๆ เช่น สีฟ้าอ่อน สีส้ม และสีเหลืองทอง และปลาที่โตเต็มวัยจะมีแถบสีดำที่คาง จึงถูกนำไปเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ส่วนปลาไม่มีสีส่วนใหญ่ก็บริโภคหรือทำเป็นปลาป่น ข้อมูลนี้ช่วยยืนยันว่า ปลาชนิดนี้เป็นที่ต้องการในตลาดปลาสวยงาม แต่สิ่งสำคัญตอนนี้อาจไม่ใช่การมาถกเถียงกันว่า ใครเป็นต้นตอ แต่ควรเป็นการระดมสมองและสรรพกำลังเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา
ล่าสุด คณะรัฐมนตรี ได้วาง 7 มาตรการแก้ปัญหาไว้ อาทิ การปล่อยปลานักล่า การตั้งเป้าจับ 4 ล้านกิโลกรัมภายในกลางปีหน้า การทำให้ปลาเป็นหมันโดยการเหนี่ยวนำโครโมโซม การเฝ้าระวังและทำความเข้าใจกับประชาชนใน 17 จังหวัดที่พบการขยายพันธ์ปลา การฟื้นฟูระบบนิเวศน์ โดยใช้งบ 450 ล้านบาท ตั้งเป้าว่าปี 2570 จะควบคุมปัญหาปลาหมอคางดำได้ ขณะที่ บริษัทเอกชนยังช่วยสนับสนุนโครงการแก้ปัญหา ด้วยการเปิดจุดรับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ระบาด ราคากิโลกรัมละ 15 บาท จำนวน 2 ล้านกิโลกรัม นำมาผลิตเป็นปลาป่น อีกทั้งร่วมมือกับ สถาบันการศึกษาวิจัยหาแนวทางควบคุมปลาหมอคางดำอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
เรื่องปลาสวยงาม จึงมีน้ำหนักมากพอที่ทุกคนจะหันมาฉุกคิด เพราะหากไม่ตามหาต้นตอที่แท้จริง มัวแต่พุ่งเป้าไปที่การจับแพะ ปัญหาทั้งหลายจะไม่สามารถแก้ได้อย่างจริงจังและยั่งยืน