ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติ ที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการการะทำความผิดนั้น

1. นางสาวหทัยกานต์ สุวรรณวงศ์ อายุ 21 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ379/2563 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้อื่น”
2. นายชนาทิป โพธิสิทธิ์ อายุ 22 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ380/2563 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้อื่น”
3. นายอนุชา ประเสริฐ อายุ 32 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ381/2563 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้อื่น”
4. นางสาวสมลักษณ์ เฉลยปราชญ์ อายุ 32 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ384/2563 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้อื่น”
5. นายอาลี วรารักษ์ อายุ 24 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ385/2563 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้อื่น”และ“มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฏหมาย”
สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่าได้มีคนร้ายทำการแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อเงินกู้ให้กับประชาชนที่สนใจ โดยจะทำการหาเหยื่อผ่านทางแอพพลิเคชั่น FACEBOOK ซึ่งเมื่อเหยื่อหลงเชื่อแล้วจะให้เหยื่อทำการแอดไอดีไลน์ ซึ่งเป็นไลน์ที่ปลอมว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารและจากนั้นจะทำการขอขอ้มูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ – นามสกุล เลขบัญชี รวมทั้งรหัส OTP และเมื่อเหยื่อหลงเชื่อมอบข้อมูลดังกล่าวให้กลุ่มคนร้ายแล้ว คนร้ายจะทำการเข้าสู่ระบบแอพพลิเคชั่น I-BANKING และทำการโอนเงินออกจากบัญชีของเหยื่อไปจนหมด ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มคนร้ายเป็นกลุ่มคนไทยที่อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยจะแบ่งหน้าที่กันทำ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำรายงานสืบสวนเสนอผู้บังคับบัญชาและส่งให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อทำการออกหมายจับผู้ต้องหา
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.63 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. และ ศปชก.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่านายชนาทิปฯ นายอนุชาฯ นางสาวหทัยกานต์ ฯ และนายอาลีฯ ได้หลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ในอำเภอเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงทำการลงพื้นที่และติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยขณะทำการจับกุมนายอาลีฯ ได้พบว่ามียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) จำนวน 79 เม็ด อยู่ในการครอบครอง และต่อมาได้ทำการขยายผลจนต่อมาวันที่ 27 ธ.ค.63 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทราบว่า นางสาวสมลักษณ์ ฯ ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่และจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งทางกองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ ศปชก.สตม. ได้ทำการสืบสวนขยายผลและติดตามหาผู้เสียหายเพิ่มเติม ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีผู้เสียหายคนไทยประมาณ 20 คน โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป
สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
























