ชป.แจงปมร้องงานสร้างพนังกั้นน้ำลำเซบายส่อทุจริต ยันตรวจสอบได้

0
5929

กรมชลประทาน ชี้แจงกรณีที่เจ้าหน้าที่ปปท.เขต3 ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการก่อสร้างปรับปรุงพนัง–   กั้นน้ำลำเซบาย สาย D ตำบลนาคำ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ระยะทางยาว 2.430 กิโลเมตร หลังพบว่ามีการซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและเบิกจ่ายค่าพัสดุไปแล้ว 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 1,553,300 บาท ทั้งที่ยังไม่มีการดำเนินการก่อสร้างแต่อย่างใด นั้น

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทานชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า งานปรับปรุงพนังกั้นน้ำลำเซบาย ตั้งอยู่ที่ตำบลนาคำ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ระยะทาง 2.430 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณทั้งสิ้น 13 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานจ้างเหมาก่อสร้าง ด้วยวิธี E-Bidding ได้หจก.ส.พัฒนวิศวการโยธา ระยะเวลาทำการ 120 วัน สัญญาเริ่มต้นวันที่ 31 มีนาคม 2563  สิ้นสุดสัญญาวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ในวงเงิน 5.5 ล้านบาท และงานจัดซื้อวัสดุ 3 งาน ได้แก่ งานเสาหลักแสดงเขตทางพนัง , งานกรวดทรายรองพื้นหินเรียง และงานเรียงหิ เป็นส่วนที่โครงการชลประทานยโสธร เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดหาและดำเนินการเอง

สำหรับการจัดซื้อวัสดุที่นำมาปฏิบัติงานโครงการชลประทานยโสธร เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อด้วยวิธีตกลงราคา โดยเริ่มจัดหาวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมาตามแผนการจัดซื้อจัดจ้างและแผนการปฏิบัติงาน ซึ่งวัสดุที่จัดหาได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่คลังพัสดุ บ้านหัวขัว ตำบลนาคำ อำเภอคำเขื่อนแก้ว ที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ปรับปรุงพนังกั้นน้ำ เนื่องจากสภาพของคันพนังกั้นน้ำเป็นทางสัญจรมีขนาดที่แคบ หากวางวัสดุไว้บริเวณดังกล่าว จะกีดขวางการปฏิบัติงานและวัสดุอาจได้รับความเสียหายรวมทั้งกีดขวางการสัญจรไปมาของเกษตรกรและราษฎรในพื้นที่ ผู้ควบคุมงานจึงได้นำวัสดุไปเก็บไว้ที่คลังพัสดุ เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานและความปลอดภัยในทรัพย์สินของทางราชการปัจจุบันผู้รับจ้างได้เข้าดำเนินการปรับปรุงพนังกั้นน้ำลำเซบายแล้ว มีผลงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 10 ของแผนงาน และจะแล้วเสร็จตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ขอยืนยันว่าการดำเนินงานโครงการดังกล่าว เป็นไปตามพระราชบัญญัติ การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ ตามนโยบายความเป็นองค์กรธรรมาภิบาล ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก มุ่งหวังพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำให้ประเทศอย่างยั่งยืน