ช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่ราคาหมูปรับตัวขึ้น ผ่านเสียงสะท้อนของแม่ค้าหมูเขียง ที่บอกว่าพ่อค้าคนกลาง หรือยี่ปั๊ว ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะหมูหน้าฟาร์มราคาแพง ดูเหมือนว่าเกษตรกรที่เป็นผู้ถูกพาดพิงจะไม่เคยออกมาแก้ตัวหรือตอบโต้ แต่กลับ “ทำให้เห็น” ว่าพวกเขากำลังทำอะไร
อย่างที่ น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ บอกว่า สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้ร่วมหารือกับกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ต้นปี เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือดูแลค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะการวางแผนการผลิตหมูทั้งระบบ ป้องกันปัญหาขาดแคลนหมู อย่างที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียกำลังมีปัญหาจากภาวะโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ ที่ระบาดอย่างหนักส่งผลกระทบกับปริมาณหมูในประเทศต่างๆ ทั้งจีน เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา เมื่อหมูไม่เพียงพอกับการบริโภคก็พาลให้ราคาหมูปรับขึ้นตามไปด้วย
ทั้งสมาคมหมูและกระทรวงพาณิชย์ จึงตัดสินใจทำสัญญาลูกผู้ชาย เพื่อร่วมกันดูแลราคาหมูไว้ล่วงหน้า โดยขอให้ยืนหยัดราคาหมูหน้าฟาร์มไม่ให้เกินกว่า 80 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาเนื้อหมูขายปลีกหน้าเขียงไม่เกิน 150-160 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งการหารือครั้งนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ประเทศไทยจะโดนพิษโควิดเล่นงาน
ความร่วมมือนี้ยังคงอยู่มาตลอด ดูได้จากข้อมูลราคาประกาศของสมาคมที่ไม่เคยมีสัปดาห์ไหนที่หมูจะแพงกว่ากิโลกรัมละ 80 บาท กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เริ่มมีเสียงจากเขียงหมูว่ารับเนื้อหมูมาขายในราคาแพงขึ้น เพราะหมูหน้าฟาร์มปรับตัวขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับราคาขายหมูเขียงตามไปด้วย ขณะที่การเรียกร้องที่เกิดขึ้นกลับไม่เคยมีใครเคยคุยกับเกษตรกรตัวจริงว่าขายหมูราคาเท่าไหร่กันแน่ และราคาที่ปรับนี้ก็เป็นไปตามกลไกตลาดจากการบริโภคที่สูงขึ้นฉับพลัน
น.สพ.วิวัฒน์ ยืนยันว่าเรื่องที่ยี่ปั๊วกล่าวอ้างนี้ไม่เป็นความจริง เพราะเกษตรกรทุกคนยังคงยืนหยัดตรึงราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไว้ตามที่สัญญาไว้กับกระทรวงพาณิชย์ ไม่มีการขึ้นราคา และคาดว่าราคาหมูที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันในครั้งนี้ เกิดจากขบวนการสร้างความเข้าใจผิดเพื่อหวังปั่นราคาหมูให้สูงขึ้น ทำให้ได้กำไรมากขึ้นในภาวะวิกฤตโดวิดเช่นนี้ ซึ่งไม่เป็นธรรมกับทั้งผู้บริโภคและคนเลี้ยงหมูที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ และร่วมดูแลการผลิตหมูให้เพียงพอกับการบริโภค ตลอดจนดูแลประชาชนไทยมาโดยตลอด
โดยเฉพาะการร่วมกันแก้ปัญหาราคาเนื้อหมูอย่างทันท่วงที โดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรและเกษตรกรทั่วประเทศ ร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดกิจกรรม “เนื้อหมู..สู้โควิด” ขายเนื้อหมูสดคุณภาพดีจากฟาร์มเลี้ยงถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ในราคาพิเศษสุด 100-130 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา และยังเดินหน้าจัดคาราวานหมุนเวียนจัดกิจกรรมในอำเภอต่างๆ ตามที่จังหวัดกำหนด ควบคู่กับพ่อค้าตลาดสดและห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ร่วมโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ทำให้ผู้บริโภคมีช่องทางและทางเลือกในการซื้อเนื้อหมูมากขึ้น ปริมาณหมูที่ออกสู่ตลาดและจำหน่ายในราคาพิเศษนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันราคาจำหน่ายเนื้อหมูในหลายพื้นที่กลับสู่ภาวะปกติ ราคากลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้า ส่วนพื้นที่ไหนหากพบการขายหมูเกินราคา อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ฝากว่าขอให้ช่วยกันโทรแจ้งสายด่วน 1569 เพื่อให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์เข้าดำเนินการทันที
นอกจากนี้ น.สพ.วิวัฒน์ ยังบอกอีกว่า ขณะนี้มีขบวนการปล่อยข่าวลวง “หมู-ไก่เป็นเอดส์” ซึ่งเป็นข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2551 โดยกลุ่มคนที่จ้องทำลายวงการหมู และมีการต่อเติมข้อความเท็จเพิ่มแล้วนำมาวนแชร์อีกทุกๆปี เพื่อให้บริโภคเกิดความวิตกกังวลจนเลิกบริโภคเนื้อหมู หวังจะให้ราคาหมูตกลงไปอีก ทั้งๆที่ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์และผู้เกี่ยวข้อง ออกมาให้ข้อมูลที่ถูกต้องในทุกครั้งก็ตาม ขณะที่จากประวัติการตรวจโรคทุกพื้นที่ที่มีการเลี้ยงหมูทั่วไทย ไม่เคยพบโรคนี้ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงหมูมาเป็น 100 ปี ตั้งแต่ปี 2461 เป็นต้นมา
ที่สำคัญประเทศไทยยังประสบความสำเร็จสามารถป้องกันโรค ASF ได้เป็นเวลาเกือบ 2 ปี นับเป็นความสำเร็จระดับภูมิภาค ช่วยปกป้องอุตสาหกรรมหมูของไทยมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท และยังเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้เนื้อหมูที่ปลอดภัย และไม่ต้องประสบภาวะขาดแคลนเนื้อหมูดังเช่นประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียที่ปริมาณหมูเสียหายจากโรคนี้ จนทำให้ราคาหมูเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
งานนี้คงต้องอาศัยกฎหมายจัดการกับทั้งพ่อค้าคนกลางขายหมูที่ขึ้นราคาหมูเองอย่างไม่เป็นธรรม และพวกปล่อยข่าวลวง ภาครัฐทั้งกรมปศุสัตว์ และกระทรวงดิจิทัลฯ ต้องเร่งตัวไอ้โม่งมาลงโทษให้เข็ดหลาบ ทั้งคนเลี้ยงหมูและผู้บริโภคจะได้หมดทุกข์หมดโศกเสียที