นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบัน(26ต.ค.63)เขื่อนห้วยยางมีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณ 49.08 ล้าน ลบ.ม. มีการระบายน้ำเพื่อลดแรงดันของน้ำที่ซึมรอดผ่านใต้ฐานของตัวเขื่อน ผ่านท่อกาลักน้ำ อาคารท่อระบายน้ำลงลำน้ำเดิมและท่อส่งน้ำ รวม 0.96 ล้านลูก ลบ.ม. ระดับน้ำลดลงจากเมื่อวาน 12 เซนติเมตร ทั้งนี้ จากการระบายน้ำดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำบางแห่ง อาทิ บริเวณ กม.8+000 มีน้ำท่วมถนนเป็นระยะทางประมาณ 300 เมตร ระดับน้ำสูง 10 เซนติเมตร บริเวณ กม.14+910 น้ำท่วมถนนเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร ระดับน้ำสูง 15 เซนติเมตร และบริเวณ กม.15+820 น้ำท่วมถนนเป็นระยะทางประมาณ 400 เมตร ระดับน้ำสูง 10 เซนติเมตร ซึ่งขณะนี้ กรมชลประทาน ได้ทำการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำบริเวณสะพานบ้านกุดเวียน เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด และเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ เข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านท้ายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว
ด้าน ดร.กัมปนาท ขวัญศิริกุล ผู้อำนวยการส่วนวิศวกรรมธรณี กรมชลประทาน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ทำการถมดินเพิ่มบริเวณลาดเขื่อนด้านเหนือน้ำ และก่อกระสอบทรายรอบจุดรั่วเพื่อควบคุมแรงดันและลดการกัดเซาะที่ตัวเขื่อน รวมทั้งเจาะสำรวจ Hand Auger เพื่อตรวจสภาพบริเวณข้างเคียง และสำรวจธรณีฟิสิกส์ในแนวที่คาดว่ามีน้ำผ่านตัวเขื่อน ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่ามีน้ำไหลลอดผ่านฐานรากเขื่อนในชั้นหินแนวรอยต่อดินบดอัดและดินเดิมบริเวณร่องแกนเขื่อน จึงได้ทำการเจาะอัดฉีดน้ำปูนและสารเคมี เพื่อลดการไหลซึมผ่านชั้นหินฐานราก บริเวณศูนย์กลางเขื่อนจากระดับสันเขื่อนถึงชั้นหินฐานรากในแนวที่คาดว่าจะมีน้ำไหลผ่าน โดยดำเนินการไปแล้ว 3 หลุมเจาะ ซึ่งวันนี้จะดำเนินการต่อจนครบตามแผน รวมทั้งถมคันดินด้านท้ายน้ำรอบจุดรั่วและปิดช่องเร่มกักเก็บน้ำเพื่อควบคุมแรงดันและป้องกันการกัดเซาะ ปัจจุบันไม่พบหลุมยุบและการแตกร้าวของตัวเขื่อนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ในทุกขั้นตอนของการซ่อมแซมจะมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อาทิ ด้านความปลอดภัยเขื่อน ด้านปฐพีกลศาสตร์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและความมั่นคงของตัวเขื่อนแต่อย่างใด เขื่อนห้วยยางและอาคารประกอบ ยังมีความมั่นคงแข็งแรงดี จึงขอให้ประชาชนด้านท้ายเขื่อนอย่าได้วิตกกังวล และขอให้รับฟ้งข่าวสารจากทางราชการเท่านั้น หรือโทร.สอบถามได้ที่สายด่วนกรมชลประทาน 1460 ได้ตลอดเวลา