‘เฉลิมชัย’ ลงนามหนังสือถึง รมว.อุตสาหกรรม แจ้งมติคณะทำงาน 4 ฝ่าย ยกเลิก3สาร

รมว. เฉลิมชัยลงนามหนังสือถึงรมว. อุตสาหกรรม แจ้งมติคณะทำงาน 4 ฝ่ายที่ให้ยกเลิกสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด เดินหน้าส่งเสริมการทำเกษตรปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์เพื่อความปลอดภัยของทั้งเกษตรกรและประชาชนผู้บริโภคทั้งประเทศ

0
1770

รมว. เฉลิมชัยลงนามหนังสือถึงรมว. อุตสาหกรรม แจ้งมติคณะทำงาน 4 ฝ่ายที่ให้ยกเลิกสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด เดินหน้าส่งเสริมการทำเกษตรปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์เพื่อความปลอดภัยของทั้งเกษตรกรและประชาชนผู้บริโภคทั้งประเทศ

วานนี้ เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ได้ลงนามหนังสือแจ้งมติคณะทำงาน 4 ฝ่ายที่ประกอบด้วย ภาครัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภคที่มีมติเป็นเอกฉันท์ให้สารเคมี 3 ชนิดคือ คลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซตปรับจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็นชนิดที่ 4 ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 62 เป็นต้นไป ในหนังสือระบุว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาความเห็นเรื่องนี้ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันและหาวิธีดำเนินการได้ ซึ่งมอบหมายนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน คณะทำงานได้แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางและลงมติอย่างเปิดเผยจนได้ผลสรุปดังกล่าว พร้อมกันนี้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ทำหนังสือแจ้งมติคณะทำงานข้างต้นให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อปรับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 โดยด่วน ทั้งนี้จะมีผลให้ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก และครอบครอง ดังนั้นจากนี้ไปขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตรายซึ่งจะประชุมวันที่ 22 ตุลาคมว่า จะบรรจุเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุมหรือไม่และจะมีมติอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติพร้อมทำตามมติ

โดยขณะนี้กำลังเร่งเดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตร โดยสั่งการอธิบดีกรมวิชาการเกษตรให้ดำเนินตามนโยบายส่งเสริมการผลิตพืชปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยของทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคทั้งประเทศ ซึ่งทุกหน่วยงานของกระทรวงฯ จะเข้าไปให้ความรู้ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และประสานหาตลาดรองรับผลผลิต

.

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายยังไม่ได้ประชุมเพื่อมีมติใหม่ กระทรวงเกษตรฯ ยังคงต้องปฏิบัติตามมติเดิมในการจำกัดการใช้ โดยในวันที่ 20 ตุลาคม 62 ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับจะมีผลบังคับใช้ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการผลิต การนำเข้า การส่งออก การครอบครองวัตถุอันตรายที่เกี่ยวกับไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส และพาราควอต สาระสำคัญคือ ผู้ขายต้องการผ่านอบรมตามหลักสูตรที่กรมวิชาการเกษตรกำหนดและต้องเข้าอบรมทุกๆ 3 ปี ต้องใช้เครื่องวัตถุอันตรายดังกล่าวกับพืชและพื้นที่ตามที่แสดงหลักฐานการซื้อขาย ผู้ที่มีไว้ในครอบครองจะต้องจัดให้มีบุคลากรเฉพาะในการขายวัตถุอันตราย ต้องแยกออกจากวัตถุอันตรายอื่นๆ และมีป้ายแสดงข้อความว่า “วัตถุอันตรายที่จำกัดการใช้” อย่างชัดเจน ฉบับที่ 2 เรื่อง การจำกัดการใช้ การกำหนดฉลากและภาชนะบรรจุวัตถุอันตรายที่เกี่ยวกับไกลโฟเซตที่ห้ามใช้ในพื้นที่ปลูกพืชผักหรือพืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ ในกรณีอยู่นอกพื้นที่ข้างต้น ให้ใช้เฉพาะเพื่อกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล ส่วนผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าวัตถุอันตรายเกี่ยวกับไกลโฟเซต ต้องแสดงข้อความในฉลากว่า เป็นวัตถุอันตรายและระดับความเป็นพิษเพื่อประโยชน์ในการควบคุม ป้องกัน บรรเทา หรือระงับอันตรายที่จะเกิดแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 3 กำหนดให้ใช้คลอร์ไพริฟอสในไม้ผลเฉพาะเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นเท่านั้น ฉบับที่ 4 เกี่ยวกับพาราควอตโดยห้ามใช้ในพื้นที่ปลูกพืชผักหรือพืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ รวมถึงมีข้อกำหนดการใช้อื่นๆ เช่นเดียวกับไกลโฟเซต และฉบับที่ 5 เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นผู้มีอานาจตรวจสอบการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ ตามมาตรา 54 (1) แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

นายเฉลิมชัยกล่าวอีกว่ากระทรวงเกษตรฯ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายจำกัดการใช้ดังกล่าว ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่หากคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติใหม่อย่างไรก็พร้อมปฏิบัติตาม ในระหว่างนี้ยินดีรับฟังข้อมูลรอบด้านจากทุกฝ่ายซึ่งในวันที่ 21 ตุลาคมจะมีกลุ่มเกษตรกรที่คัดค้านการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดเข้าพบ โดยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการให้เกิดประโยชน์และความปลอดภัยสูงสุดทั้งต่อเกษตรกรและประชาชนผู้บริโภคทั้งประเทศ